วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใบบัวบก




               ใบบัวบก เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ขึ้นบนดิน แต่มีลักษณะใบคล้ายกับใบบัว  ซึ่งรู้จักกันดีว่าน้ำใบบัวบกช่วยแก้ช้ำใน  และยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก   ในบัวบกประกอบด้วยสารสำคัญหลายอย่างด้วยกัน อาทิเช่น  ไตรเตอพีนอยด์ (อะซิเอติโคไซ)   บราโมไซ  บรามิโนไซ  มาดิแคสโซไซ(เป็นไกลโคไซด์ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ)   กรดมาดิแคสซิค  ไทอะมิน(วิตามินบี 1)  ไรโบฟลาวิน(วิตามินบี2)  ไพริดอกซิน(วิตามินบี6)  วิตามินเค แอสพาเรต  กลูตาเมต  ซีริน  ทรีโอนีน  อลานีน  ไลซีน  ฮีสทีดิน  แมกนีเซียม  แคลเซียม โซเดียม 
                สารไตรเตอพีนอยด์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน(ซึ่งเปรียบเสมือนร่างแหที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างหลักของเซลล์ในส่วนต่างๆของร่างกาย  และยังเป็นผนังที่หุ้มล้อมรอบหลอดเลือดอีกด้วย)  ดังนั้นใบบัวบกจึงสามารถลดความดันเลือดได้เนื่องจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เส้นเลือด  ใบบัวบกจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นเบาหวานเพราะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนผ่านเส้นเลือดฝอย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนผ่านเส้นเลือดฝอย จึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการบวม  เส้นประสาทเสื่อม เหน็บชา แขนขาอ่อนแรง    นอกจากนี้ใบบัวบกทำให้ผิวหนังเต่งตึงและมีความยืดหยุ่นขึ้น    ตลอดจนช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นและช่วยในขบวนการหายของแผลเนื่องจากใบบัวบกจะควบคุมไม่ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนบริเวณแผลมากจนเกินไป   ดังนั้นจึงนิยมนำใบบัวบกไปใช้ในการรักษาแผลต่างๆอาทิเช่น แผลผ่าตัด การปลูกถ่ายผิวหนัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง หรือแม้แต่แผลจากโรคเรื้อน 
                จากการศึกษาผลการใช้ใบบัวบกเพื่อรักษาโรคเรื้อนและวัณโรคที่ผิวหนัง พบว่าสารอะซิเอติโคไซในใบบัวบกสามารถทำลายสารเคลือบผิวที่หุ้มแบคทีเรีย(ปกติภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายสารเคลือบผิวตัวนี้ได้) ทำให้ภูมิคุ้มกันเข้าไปจัดการกับเชื้อแบคทีเรียได้โดยตรง
                ใบบัวบกจะช่วยลดขนาดของเส้นเลือดขอด เนื่องจากใบบัวบกจะทำให้คอลลาเจนที่หุ้มรอบเส้นเลือดดำยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนผ่านเส้นเลือดดำเป็นไปได้สะดวกขึ้น
                การรับประทานใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานสด เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือคั้นน้ำ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากความกังวลและความเครียดได้ เนื่องจากในใบบัวบกประอบด้วยวิตามินบี1,บี2 และบี6 ในปริมาณสูง  นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายหลั่ง GABA  (gamma-aminobutyric acid)  ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในปริมาณที่มากขึ้นด้วย   จากการศึกษายังพบว่า การรับประทานใบบัวบกจะทำให้คุณสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ความจำดีขึ้น  และใบบัวบกยังช่วยกำจัดสารพิษซึ่งสะสมในสมองและระบบประสาท  ตลอดจนช่วยกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายประเภทโลหะหนักและยาต่างๆได้เป็นอย่างดี
                จากอดีตที่ผ่านมีการใช้ใบบัวบกเพื่อรักษาความผิดปกติที่ตับและไต เช่น ตับอักเสบ  โรคตับที่เกิดจากการดื่มสุรา   ข้ออักเสบ  รูมาไทติส  รำมะนาด(เหงือกอักเสบ)  และจากการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้พบว่าในใบบัวบกยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย  จะเห็นว่าผักธรรมดาที่คุณรู้จักกันมานานแล้ว แต่อาจจะมองข้ามไปนั้นมีคุณประโยชน์มากมายไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

เตยหอม



           เตยหอม ชื่อวิทยาศาสตร์: Pandanus amaryllifolius เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ ลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเป็นทางยาว สีเข้ม ค่อนข้างแข็ง เป็นมัน ขอบใบเรียบ ในใบมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย Fragrant Screw Pine สีเขียวจากใบเป็นสีของคลอโรฟิลล์ ใช้แต่งสีขนมได้ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวลักษณะแตกกอเป็นพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเป็นข้อ ใบออกเป็นพุ่มบริเวณปลายยอด เมื่อโตจะมีรากค้ำจุนช่วยพยุงลำต้นไว้ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ลักษณะใบยาวเรียวคล้ายใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน เส้นกลางใบเว้าลึกเป็นแอ่ง ถ้าดูด้านท้องใบจะเห็นเป็นรูปคล้ายกระดูกงูเรือ ใบมีกลิ่นหอม 
ส่วนที่ใช้  ต้นและราก, ใบสด

สรรพคุณ :
  • ต้นและราก  
    -  ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย
  • บสด
    -  ตำพอกโรคผิวหนัง
    -  รักษาโรคหืด
    -  น้ำใบเตย ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น  
    -  ใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแต่งสีขนม
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
  1. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
    ใช้ต้น 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ต้มกับน้ำดื่ม
  2. ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ
    ใช้ใบสดไม่จำกัดผสมในอาหาร ทำให้อาหารมีรสเย็นหอม  รับประทานแล้วทำให้หัวใจชุ่มชื่น หรือเอาใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง
  3. ใช้เป็นยาแก้เบาหวาน
  4. ใช้ราก 1 กำมือ ต้มน้ำดื่ม เข้าเย็น
สารเคมี : สารกลุ่ม anthocyanin

มะเกลือ



         มะเกลือ เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Ebenaceae พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ผลดิบของมะเกลือมีสรรพคุณเป็นยา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมัยก่อนนิยมใช้ยางผลมะเกลือไปย้อมผ้า มะเกลือไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร ใบกว้าง 3.5-4.0 ซม. ยาว 9-10 ซม. เปลือกต้นมีสีดำแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ใบเป็นใบเดียวรูปรี ปลายใบแหลม ผลกลมผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ผลแก่จัดจะแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดบนผล 4 กลีบ ผลแก่ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เมล็ด แบน สีเหลือง 4-5 เมล็ด ขนาดกว้าง 0.5-0.7 ซม. ยาว 1-2 ซม. ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด มะเกลือเป็นไม้ที่ปลูกโดยการใช้เมล็ด ขึ้นได้ดีกับดินแทบทุกชนิดเหมาะที่จะปลูกในฤดูฝน ต้นมะเกลือนี้หากถ้าโดยแดดจัดจะทำให้ผลดกมากแต่ใบไม่ค่อยงาม วิธีการปลูกให้เพาะกล้าเสียก่อนเช่นเดียวกันกับต้นไม้อื่นๆ แล้วนำเอาไปปลูกในหลุมที่เตรียมไว้
  • ผล มะเกลือดิบมีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิที่คนไทยรู้จักและใช้กันมานาน ผลมะเกลือมีรสเมาเบื่อ ขับพยาธิในลำไส้ ถ่ายตานซาง ถ่ายกระษัยโดยมากใช้กับเด็ก วิธีการคือ เอาลูกสดใหม่ไม่ช้ำ ตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำกะทิมะพร้าวดื่มทันที ห้ามเก็บไว้ จะเกิดพิษ ขับพยาธิไส้ เดือน พยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย จำนวนลูกเอาเท่าอายุ แต่ไม่เกิน 25 ลูก เอาดีเกลือ ฝรั่ง 10 กรัม ละลายน้ำสุก 1 แก้ว ดื่มตามหลัง 30 นาทีอย่าปล่อยให้เป็นสีดำ เพราะอาจเป็นพิษ ปัจจุบัน มีการสกัดสารที่มีฤทธิ์ขับพยาธิจากผลมะเกลือแล้วผลิตเป็นยาเม็ดสำเร็จรูปใช้รับประทาน
  • เมล็ด รสเมามัน ขับพยาธิในท้อง
  • เปลือกต้น รสฝาดเมา เป็นยากันบูด แก้กระษัย ขับพยาธิ แก้พิษ ตานซาง
  • ทั้งต้น รสฝาดเมา ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้กระษัย
  • แก่น รสฝาดเค็มขมเมา ขับพยาธิ แก้ตานซาง
  • ราก รสเมาเบื่อ ฝนกับน้ำข้าวกิน แก้อาเจียน แกเป็นลม หน้ามืด แก้กระษัย แก้ริดสีดวงทวาร แก้พิษตานซาง ขับพยาธิ

กระดังงา




กระดังงา หรือกระดังงาไทย อังกฤษ : Ylang-ylang (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga odorata (Lamk.) Hook.f. et Th.) ชื่ออื่น สะบันงา สะบันงาต้น (ภาคเหนือ) เป็นไม้ยืนต้นในตระกูลเดียวกับน้อยหน่าและการเวก
สูง 8-15 เมตร ลำต้นตรง กิ่งมักจะลู่ลง กระดังงามีถิ่นกำเนิด ในเอเซียเขตร้อนในแถบ ประเทศฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซียเป็นไม้เลื้อยทรงพุ่มขนาดกลาง เป็นพุ่มทรงโปร่ง ออกดอกตลอดปี ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรีหรือรูปใบหอก กว้าง 5-7 ซม. ยาว 13-20 ซม. ขอบใบเป็นคลื่น เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทา ดอกช่อออกเป็นกระจุก ที่ซอกใบ กระจุกละ 4-6 ดอก กลีบดอกสีเหลืองหรือเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ผลเป็นกลุ่มผล ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตอนเช้าและเย็น โดยเริ่มออกดอกเมื่อ ปลูกได้ประมาณ 3 ปี สูง 7 - 8 เมตร จึงจะออกดอก
เปลือก
ใช้ทำเชือก
ดอก
นำไปกลั่นน้ำหอม ใช้นำไปเป็นส่วนปนะกอบของยาหอม มีฤทธิ์แก้วิงเวียน โดยจัดอยู่ในส่วนประกอบของ เกสรทั้งเจ็ด
ตำรายาไทย
ใช้ใบและเนื้อไม้ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ ผลแก่ใช้ผลสีเหลืองอมเขียวเกือบดำ นำมาบดใช้เป็นยา
ประโยชน์อื่นๆ
คนโบราณใช้ดอกทอดกับน้ำมันมะพร้าวทำน้ำมันใส่ผม หรือ นำดอกนำมาลนไฟใช้อบขนมให้มีกลิ่นหอม
       กระดังงาเป็นไม่เลื้อยที่เปลือกจะหน้าขึ้นตามอายุ โดยสามารถตอนกิ่งได้แบบเดียวกับไม่ยืนต้น แต่มีโอกาศที่จะติดโรคเชื้อราทำให้กิ่งชำที่ได้มีความกิ่งเปราะ หักง่าย ส่วนใหญ่จึงนิยมจะขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

จันทน์เทศ


จันทน์เทศ (อังกฤษ: Nutmeg; ชื่อวิทยาศาสตร์: Myristica fragrans) เป็นสปีชีส์ของพืชดอกที่อยู่ในวงศ์ Myristicaceae ที่มีด้วยกันทั้งหมดราว 100 สปีชีส์ย่อย เป็นไม้ประเภทไม้ไม่ผลัดใบที่มีถิ่นฐานการปลูกอยู่ที่หมู่เกาะบันดาในหมู่เกาะโมลุกกะใน อินโดนีเซียหรือหมู่เกาะเครื่องเทศ ที่เป็นแหล่งผลิตจันทน์เทศแหล่งเดียวในโลกมาจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต้นจันทน์เทศมีความสำคัญสำหรับการผลิตเครื่องเทศสองอย่างๆ หนึ่งคือ “เม็ดจันทน์เทศ” (nutmeg) และ “ดอกจันทน์เทศ” (mace) เครื่องเทศสองชนิดนี้แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูง เช่นในสหราชอาณาจักรอังกฤษเม็ดจันทน์เทศเม็ดหนึ่งตกประมาณ .50-1 ปอนด์ต่อเม็ด และ ดอกจันทน์เทศขายเป็นขวดๆ ละประมาณ 2.50-3 ปอนด์แต่ละขวดทำมาจากเมล็ดสามสี่เมล็ด (ค.ศ. 2009)
“จันทน์เทศ” มาจากตัวเมล็ดของต้นที่มีลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดยาวประมาณ 20 ถึง 30 มิลิเมตร (1 นิ้ว) กว้าง 15 ถึง 18 มิลิเมตร (¾ นิ้ว) และหนัก 5 ถึง 10 กรัม (¼ ถึง ½ ออนซ์) เมื่อแห้ง ส่วน “ดอกจันทน์เทศ” คือส่วนที่เป็นเส้นสายสีออกแดงที่งอกคลุมอยู่รอบเมล็ดรอบเมล็ด ต้นจันทน์เทศเป็นต้นไม้เมืองร้อนชนิดเดียวที่ผลิตเครื่องเทศได้สองชนิด
นอกจากนั้นจันทน์เทศก็ยังใช้ทำสินค้าประเภทอื่นด้วยเช่นน้ำมันหอม, ยาง (oleoresins) และ เนยจันทน์เทศ (nutmeg butter) ที่ทำเนื้อของผลจันทน์เทศ ผลใช้ทำแยมที่เรียกว่า “Morne Delice” ในเกรนาดา และ “selei buah pala” ในอินโดนีเซีย หรือหั่นบางๆ ชุบน้ำตาลเป็นของขบเคี้ยวที่เรียกว่า “manisan pala” ทางภาคใต้ของประเทศไทยเนื้อผลจันทน์เทศสดใช้กินเป็นของขบเคี้ยวกับน้ำปลาหวานหรือพริกกับเกลือ รสจะออกจะเผ็ดและฉุนจัดสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วจะติดรส
สปีชีส์ที่สำคัญที่สุดทางการค้าคือจันทน์เทศสามัญหรือจันทน์เทศหอมที่เรียกว่า “Myristica fragrans” ที่มาจากหมู่เกาะบันดาในอินโดนีเซีย ที่อื่นที่ปลูกก็ได้แก่ที่เกาะปีนังในมาเลเซีย และที่แคริบเบียนโดยเฉพาะที่เกรเนดา และเคราราทางตอนใต้ของอินเดีย สปีชีส์ก็ได้แก่จันทน์เทศปาปัว หรือ “M. argentea” จากนิวกินี, จันทน์เทศบอมเบย์ หรือ “M. malabarica” จากอินเดีย ทั้งสองสปีชีส์ใช้ในการส่วนเสริม (adulterant) ของผลิตผลจากจันทน์เทศสามัญหรือจันทน์เทศหอม

ผู้ติดตาม